จากที่พูดมานั้น Etsy เลยเน้นไปที่การออกแบบเว็บไซต์ที่ใช้งานได้ไม่ยาก ไปอยู่ในระดับที่ต่อให้ไม่มีประสบการณ์ หรือไม่ชำนาญด้านออนไลน์ก็สามารถใช้งานได้ทันที
และนอกจากเรื่องที่ได้บอกไป etsy ก็ยัเก็บค่าธรรมเนียมต่ำจึงเกิดกระแสปากต่อปาก
ในที่สุด Etsy จึงกลายมาเป็นชุมชนออนไลน์หลักสำหรับสินค้า Handmade
เวลาก็ได้ผ่านไปเรื่อยๆ Etsy เริ่มเติบโตเป็นบริษัทใหญ่!
จนในปี 2015 ก็มีการระดมทุนจนสามารถจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ
เมื่อ Etsy เริ่มเป็นอีคอมเมิร์ซจึงทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน นั้นก็คือ Amazon ก็ได้เข้ามาแข่งขันแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยที่ Amazon ได้เปิดตัว Amazon Handmade! เพื่อมารุกตลาดสินค้า Handmade ในทันที
สิ่งที่ Amazon ทำเพื่อที่จะดึงดูดฐานผู้ใช้งานก็คือ การยกเว้นค่าธรรมเนียมในปีแรก
และด้วยความที่เป็นแพลตฟอร์มที่คนส่วนใหญ่ใช้งานกันทำให้ฝั่งพ่อค้าแม่ค้าเริ่มเปลี่ยนไปใช้ Amazon Handmade กันมากยิ่งขึ้น
ตอนนั้น...หลายๆคนก็คิดว่า Etsy น่าจะจบลงตรงนี้แล้ว
นั้นก็เพราะ Amazon นั้นมีเงินทุนเยอะกว่าเยอะและฐานลูกค้าที่มากกว่า
แต่มันกลับไม่เป็นแบบที่พวกเราคิด! นั้นก็เพราะหลังจากที่คนขายไปใช้ Amazon Handmade ได้ไม่นานนักก็กลับมาใช้ Etsy อีกครั้ง! แถมบางคนยังบอกอีกด้วยหล่ะว่าจะไม่กลับไปใช้ Amazon อีกเป็นครั้งที่สอง หลายๆคนอาจคิดว่า Amazon น่าจะทำได้ดีกว่า แต่กลับไม่ใช่?!
นั้นก็เพราะว่า! สินค้า Handmade มีความหลากหลายและความเฉพาะตัวของแต่ละสินค้ามากกว่าสินค้าทั่วไป
Etsy สามารถทำได้ดีกว่า amazon เพราะว่า Etsy นั้นได้ลงทุนไปมหาศาลกับระบบการค้นหา มันดียังไงหน่ะเหรอ? จะยกตัวอย่างให้ดูเอง!
อย่างเช่นสมมุติมีลูกค้าสองคนพิมพ์คำเดียวกัน แต่สิ่งที่จะแสดงขึ้นมานั้นจะแตกต่างกันล่ะ เพราะมันจะขึ้นอยู่กับว่าเราได้กดถูกใจสินค้าอะไรไว้บ้าง, ตั้งร้านไหนไว้เป็นร้านโปรด หรือเคยซื้อสินค้าประเภทใดมามากน้อยแค่ไหนบ้าง
Etsy ได้ทำให้เห็นว่าไม่ว่าเราจะทำธุรกิจหรืออะไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะเริ่มทีหลัง หรือเล็กกว่าคนอื่นๆแค่ไหน ที่สำคัญก็คือเราจำเป็นจะต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าหรือกลุ่มผู้ใช้งานของเรา และทำออกมาให้ได้ตามที่พวกเขาต้องการ!